- บำรุงสุขภาพ
- บำรุงสายตา
- ดีทอกซ์
- บำรุงกระดูกและข้อ
- สุขภาพช่องปาก
- กาแฟเพื่อสุขภาพ
- เครื่องดื่มรังนก
- น้ำสมุนไพร
- เครื่องดื่มวิตามิน
- ข้าว
- เครื่องวัดความดัน
- อุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุ
- เครื่องนวดไฟฟ้า
- กระชายขาว
- ฟ้าทะลายโจร
- Activis
- Real Elixir
- S.O.M.
- ครีมบำรุงผิวหน้า
- เซรั่มบำรุงผิว
- ครีมกันแดด
- เซรั่มบำรุงผม
- แชมพู
- BSC
- Deraey
- MAGIQUE
- Revive
- เสื้อ และกางเกง
- ชุดกระชับสัดส่วน
- ชุดชั้นใน และกางเกงชั้นใน
- ชุดกีฬา
- เสื้อ และกางเกง
- ชุดชั้นใน และกางเกงชั้นในชาย
- กล่องเก็บเครื่องประดับ
- นาฬิกา
- แว่นกันแดด
- กระเป๋า
- เครื่องฟอกอากาศ
- เครื่องปรับอากาศ
- พัดลม
- เตารีด
- เครื่องซักผ้า
- กาต้มน้ำไฟฟ้า
- โคมไฟ และอุปกรณ์ให้แสงสว่าง
- เครื่องกรองน้ำ
- โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต
- นาฬิกาสมาร์ทวอทช์
- อุปกรณ์เสริม
- ไดร์ และเครื่องหนีบผม
- เครื่องโกนหนวด
- แปรงสีฟันไฟฟ้า
- Aston
- Philips
- หม้อ
- หม้อทอดไร้น้ำมัน
- หม้อหุงข้าว
- กระทะ
- เตาไฟฟ้า
- เครื่องปั่น/เครื่องคั้นน้ำ
- ชุดจานชาม
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- หุ่นยนต์ดูดฝุ่น
- เครื่องดูดฝุ่น
- ไม้ถูพื้น
- เครื่องนอน/หมอน
- เตียง และท็อปเปอร์
- โซฟา
- เก้าอี้ และเบาะรองนั่ง
- โต๊ะ
- อุปกรณ์อื่นๆ
- BCC
- Philips
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- อาหารสุนัข
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- อาหารแมว

วิธีดูแลดวงตาอย่างไร ไม่ให้เสื่อมก่อนวัย
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น สิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คือเรื่องของโรค ภัย ไข้ เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ แต่อวัยวะที่ร่างกายใช้ทุกวันและเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างดวงตา กลับได้รับความสนใจน้อยกว่า จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อ The International Agency for the Prevention of Blindness (IAPB) ทำการสำรวจสุขภาพตาของคนที่มีอายุ 50 ปี ทั่วโลก 45 ล้านคนพบว่า 80% มักมีปัญหาเรื่องสายตาจนถึงขั้นตาบอดเลยก็มี
ประกอบกับไลฟ์สไตล์และวิธีการทำงานในปัจจุบัน ทำให้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือได้มากนัก จึงทำให้หลายๆ คนเริ่มมีอาการปวดตา, ตาแห้ง หรือมีปัญหาสายตากันมากขึ้น และหากคุณเป็นหนึ่งคนที่มีอาการอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะถนอมสายตาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
1. ลองเปิดใจให้กับแว่นตากรองแสง
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ การใส่แว่นตากรองแสงถือเป็นอุปกรณ์ที่คุณควรมีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแว่นกรองแสงนั้นมีคุณสมบัติช่วยกรองแสงสีฟ้าที่ออกจากจอคอมพิวเตอร์ หรือ หน้าจอโทรศัพท์ได้ ซึ่งจะทำให้คุณไม่เกิดอาการเคืองตา, ปวดตา หรือ มีอาการตาล้าจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานๆ ได้อีกด้วย
2. ลดแสงสว่างหน้าจอ
จริงอยู่ที่หน้าจอสีสดจะช่วยเพิ่มความสนุกในการรับชมมากขึ้น แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือที่มีแสงสว่างมากเกินไป อาจจะทำให้คุณต้องแลกมากับอาการตาแห้ง หรือ แสบตาได้ ดังนั้น การลดความสว่างหน้าจอลง หรือปรับความเข้มและขนาดของตัวหนังสือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะเป็นการดีกับสุขภาพสายตาของคุณมากกว่า
3. ปรับระยะห่างของหน้าจอ
กับสายตาให้เหมาะสม ระยะห่างระหว่างตัวเรากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมคือ ระยะ 50 – 70 เซนติเมตร และควรจัดระดับจอคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสายตาของเรา ไม่ให้หน้าจออยู่สูงหรือต่ำจนเกินไป (ระยะห่างที่แพทย์แนะนำคือ 4-9 นิ้ว จากระดับสายตา)
4. ปรับความสว่างของห้องก็ช่วยได้
มุมทำงานที่ดีควรเป็นมุมที่มีหน้าต่างอยู่ด้านข้างโต๊ะทำงาน เพราะการจัดโต๊ะทำงานในลักษณะนี้จะช่วยลดแสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ รวมถึง ปิดไฟบางดวงที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดความสว่างจากแสงสะท้อนของหน้าจอได้อีกทางหนึ่ง
5. แบ่งเวลาไปพักสายตา หรือ บริหารดวงตาบ้าง
เรามักจะได้ยินจักษุแพทย์หลายๆ คนแนะนำให้ ลดการจ้องหน้าจอทุกๆ 1 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า คุณควรแบ่งเวลาสำหรับการละสายตาออกจากหน้าจอคอมฯ และมือถือ และหันไปมองที่ต้นไม้สีเขียว หรือ วิวด้านนอกบ้าง เพื่อลดอาการตาล้าที่เกิดจากการจ้องหน้าจอนานจนเกินไป และควรบริหารดวงตาด้วยการกรอกดวงตาขึ้น-ลง หรือ กรอกซ้าย-ขวา ไปมาประมาณ 10 ครั้ง เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าจากการจ้องจอคอมทั้งวัน
6. ตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง
การตรวจสุขภาพตาก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การตรวจสุขภาพประจำปี คุณหมอจากโรงพยาบาลศิริราช แนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจเช็คว่า ความดันตา และจอประสาทตายังสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ และยังเป็นการป้องกันการสูญเสียดวงตาจากโรคตาอื่นๆ ได้อีกทางหนึ่ง
เลือกทานอาหารบำรุงสายตา ก็ช่วยได้
นอกจากการดูแลสายตาที่บอกไปข้างต้นแล้ว การทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาเช่นกัน ดังนั้น หากใครอยากให้ดวงตาคู่สวยอยู่กับคุณไปนานๆ เราแนะนำให้คุณเลือกทานอาหารต่อไปนี้ช่วยได้
1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ไม่ว่าจะเป็นราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บิลเบอร์รี่ โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี๋) แบล็คเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ (ลูกหม่อนของไทย) มีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรง ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาและลดการเกิดต้อกระจกได้
2. ไข่
เพราะไข่แดงอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี ที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาแข็งแรง
3. ผักใบเขียว
นับเป็นอาหารที่หาได้ง่ายตามตลาดทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น กวางตุ้ง คะน้า ผักบุ้ง ผักบุ้งจีน ตำลึง เป็นต้น ผักเหล่านี้ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง ช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาและการเกิดต้อกระจกได้
4. อะโวคาโด (Avocado)
นอกจาก อะโวคาโดจะมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักแล้ว อะโวคาโดยังมีประโยชน์ในการบำรุงสายตาด้วย เนื่องจากเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็นในการบำรุงสายตา ไม่ว่าจะเป็น ลูทีน, เบต้าแคโรทีน, วิตามินบี 6 และวิตามินซี ที่นอกจากจะช่วยบำรุงสายตา ยังช่วยป้องกันอาการตาฝ้าฟาง และชะลอการเสื่อมสภาพดวงตาที่ร่วงโรยไปตามวัย
5. แครอท
อย่างที่เรารู้กันดีว่า แครอทเป็นผักที่เต็มไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ และการทานแครอทเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการตาบอดกลางคืนได้อีกด้วย
6. ปลาที่มีไขมันสูง
อาทิ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเทราต์ ปลาสวาย ฯลฯ ซึ่งเป็นปลาที่เต็มไปด้วยกรดไขมัน DHA ที่กรดไขมันที่พบได้มากในเรตินาของดวงตา ดังนั้น การทานปลาที่มีไขมันสูงเป็นประจำ ไขมันดีในปลาที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยซ่อมแซมดวงตาของเราให้กลับมาสดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอ และยังช่วยห่างไกลจากโรคตาแห้งอีกด้วย
S.O.M.I-Kare อาหารเสริมอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสายตา ตาพร่ามัว ใช้สายตาอย่างหนัก โดยมีสารสกัดของน้ำมันปลาแซลมอน ที่ช่วยลดอาการตาแห้ง ป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม รวมไปถึงบิลเบอร์รี่ เพิ่มการไหลเวียนเลือดในตา ช่วยให้การมองเห็นกลางคืนเป็นเรื่องง่ายขึ้น